วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 1
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการแปล
ความสำคัญของการแปล
                ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในการเดินทาง ตลอดจนในการศึกษา จึงแสดงให้เห็นว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งเป็นภาษาของการปฏิวัติอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย จึงมีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อในการแสดงและอธิบายความหมาย เพื่อการโต้ตอบระหว่างมนุษย์ทั่วโลก บางคนอาจจะรู้ภาษาต่างประเทศไม่ดีพอ จึงจำเป็นต้องอาศัยผู้แปล งานแปลจึงสามารถยึดเป็นอาชีพได้
การแปลในประเทศไทย
            การแปลในประเทศไทยเริ่มมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชส่งโกษาปานไปเฝ้าพระเจ้าหลุยแห่งประเทศฝรั่งเศส มีการแปลเอกสารต่างๆ ในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีการสอนภาษาอังกฤษในราชสำนัก
            การแปลจะช่วยให้ลดความไม่เข้าใจกัน เนื่องจากมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันและสร้างความเข้าใจระหว่างนานาชาติ ทำให้เกิดสันติภาพในโลก
            จากการที่เรามีบริษัทตัวแทนในการค้าขายจากต่างประเทศ มีผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาชาวต่างประเทศในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ได้แก่ การเมือง สังคม เศรษฐกิจ การค้า การคมนาคม เป็นต้น ตลอดจนมีการท่องเที่ยวที่นำเงินรายได้ให้กับประเทศ ทำให้การแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
            ในด้านวิชาการต่างๆ เช่น การเกษตร การแพทย์ การเคหะ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เพื่อการศึกษาของชาติ จึงมีการแปลตำราเหล่านี้เป็นภาษาไทย เพื่อช่วยให้นักศึกษา นักธุรกิจและนักการเมือง ในการศึกษาหาความรู้หรือเดินทางไปต่างประเทศ

การแปลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ผู้แปลต้องเป็นกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันการใช้ภาษาวิบัติ และอีกประการหนึ่งการแปลมีปัญหาอยู่มากเนื่องจากขาดความรู้เรื่องพื้นฐานทางวัฒนธรรม ( cultural backgrown ) ผู้แปลจะต้องติดตามวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดเวลา ศัพท์บางคำหาคำเทียบในภาษาไทยไม่ได้จริงๆ
การสอนแปลในระดับมหาวิทยาลัย
                การสอนแปลในระดับมหาวิทยาลัย เป็นการสอนไวยากรณ์และโครงสร้างของภาษา การใช้ภาษา รวมทั้งการอ่านเพื่อความเข้าใจ โดยได้รับการฝึกฝนอย่างได้ผลจริงๆ
การแปลคืออะไร
                การแปลคือการถ่ายทอดความคิดจากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่ง โดยให้มีใจความครบถ้วนสมบูรณ์ตรงตามต้นฉบับทุกประการ ไม่มีการตัดต่อหรือแต่งเติมที่ไม่จำเป็นใดๆทั้งสิ้น แต่ในส่วนที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่จะประดิษฐ์งานแปลให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้นไปนั้นถือเป็นงานศิลป์
คุณสมบัติของผู้แปล
1.             เป็นผู้รู้ภาษาอย่างดีเลิศ
2.             สามารถถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่นได้ความรู้
3.             เป็นผู้ที่มีศิลปะในการใช้ภาษา
4.             เป็นผู้เรียนวิชาภาษาและวรรณคดี หรือภาษาศาสตร์
5.             ผู้แปลจะต้องเป็นผู้รอบรู้และรักการค้นคว้าวิจัย
6.             ผู้แปลต้องมีความอดทนและเสียสละ
จุดมุ่งหมายของผู้สอนแปลคือ สอนฝึกและผลิตนักแปลที่มีคุณภาพแก่สังคม สรุปได้ว่าผู้เรียนแปลจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1.             1.รู้ลึกซึ้งในเรื่องภาษา
2.             รักการอ่าน ค้นคว้า
3.             มีความอดทน
4.             มีความรับผิดชอบ
นักแปลที่มีคุณภาพหมายถึงนักแปลที่มีความสามารถถ่ายทอดความคิดของต้นฉบับได้อย่างครบถ้วน โดยไม่ขาดหรือไม่เกิน
วัตถุประสงค์ของการสอนแปล
1.             เป้าหมายที่สำคัญของการแปล คือการฝึกเพื่อผลิตนักแปลที่มีคุณภาพให้ออกไปรับใช้สังคมในด้านต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดในหลักสูตรว่าควรจะสอนอะไร
2.             การสอนแปลให้ได้ผล ตามทฤษฎีวิชาแปลเป็นวิชาที่เกี่ยวกับทักษะ 2 ทักษะ คือ ทักษะในการอ่านและทักษะในการเขียน
3.             ผู้สอนแปลต้องหาทางเร่งเร้าให้ผู้เรียนได้อ่านอย่างกว้างขวาง
4.             ให้ผู้เรียนแปลได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักแปลอาชีพเพื่อเป็นการเตรียมตัวก่อนที่จะไปประกอบอาชีพ
บทบาทของการแปล
            การแปลเป็นทักษะที่พิเศษในการสื่อสาร คือ ผู้รับสารไม่ได้รับสารจากผู้ส่งสารคนแรกโดยตรง แต่รับสารจากผู้แปลอีกทอดหนึ่ง
ลักษณะงานแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยที่ดี
1.             ภาษาไทยที่ใช้ในงานแปลนั้นมีลักษณะเป็นธรรมชาติ ไม่ติดสำนวนฝรั่ง
2.             สามารถนำต้นฉบับภาษาอังกฤษมาเทียบเคียงกับคำแปลภาษาไทยได้
3.             ใช้การแปลแบบตีความ
ลักษณะของงานแปลที่ดี
1.             ความหมายถูกต้องและครบถ้วนตามต้นฉบับ
2.             รูปแบบของภาษาที่ใช้ในฉบับแปลตรงกันกับต้นฉบับ
3.             สำนวนภาษาที่ใช้สละสลวยตามระดับของภาษา

การวิเคราะห์ความหมาย
1.            องค์ประกอบของความหมายประกอบด้วย คำศัพท์ ไวยากรณ์ เสียง
2.            ความหมายและรูปแบบมีความสัมพันธ์กันดังนี้
1.1      ในแต่ละภาษา ความหมายหนึ่งอาจจะแสดงออกได้หลายรูปแบบ เช่น ในรูปประโยคที่ต่างกันหรือใช้คำที่ต่างกัน
1.2      รูปแบบเดียวอาจจะมีหลายความหมาย ความหมายของรูปแบบนั้นไม่แน่นอนตายตัวเสมอไป
3.              ประเภทของความหมาย นักภาษาศาสตร์ได้กำหนดประเภทความหมายไว้ 4 ประเภทด้วยกัน
1.1      ความหมายอ้างอิง หมายถึงความหมายที่กล่าวอ้างโดยตรงถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
1.2      ความหมายแปล หมายถึง ความรู้สึกทางอารมณ์ของผู้อ่าน ผู้ฟัง ซึ่งอาจจะเป็นความหมายในทางบวกหรือทางลบก็ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของภาษา
1.3      ความหมายตามปริบท รูปแบบหนึ่งๆของภาษาอาจจะมีความหมายได้หลายความหมาย ต้องพิจารณาจากปริบทที่แวดล้อมคำนั้นทั้งหมด จึงจะรู้ความหมายที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ
1.4      ความหมายเชิงอุปมา เป็นความหมายที่เกิดจากการเปรียบเทียบโดยเปิดเผยและการเปรียบเทียบ ออกเป็น 3 ส่วน คือ
4.1      สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบ
4.2      สิ่งที่ถูกเปรียบเทียบ
4.3      ประเด็นของการเปรียบเทียบ







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น